หน้าแรก

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

ความเป็นมาสงครามโลกครั้งที่ 2

การโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ แบบสายฟ้าแลบของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ดึงให้สหรัฐเข้าร่วมสงคราม ในช่วงนั้นสัมพันธมิตรยังติดพันสงครามในภาคพื้นยุโรปและแอฟริกา ญี่ปุ่นจึงรุกคืบในแนวรบภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคได้อย่างรวดเร็ว เพียงห้าเดือนหลังโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ญี่ปุ่นยึดฮ่องกง เกาะเวค เกาะกวม คาบสมุทรมลายา สยาม พม่า ฟิลิปปินส์ และดัชท์ อีสต์ อินดีส ไว้ได้ สัมพันธมิตรกลับมารุกกลับคืนได้ เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางปี 1943 จนท้ายที่สุดญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อปี 1945 ยุทธการที่มิดเวย์ ศาสตราจารย์โรเจอร์ ไนท์ ผู้ศึกษาเรื่องสงครามทางทะเลจากมหาวิทยาลัยกรีนิชชี้ว่ายุทธการเมื่อกลางปี 1942 ที่เกาะมิดเวย์ ซึ่งเป็นเป็นฐานนาวิกโยธินและสถานีเติมเชื้อเพลิงของเรือดำน้ำสหรัฐ คือจุดผลิกของสงคราม เพราะเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำ “ ยุทธการที่เกาะมิดเวย์เป็นการรบที่สำคัญมาก เพราะหลังการรบครั้งนี้สหรัฐเริ่มกลับมาเป็นฝ่ายรุก ” สหรัฐถอดรหัสของญี่ปุ่นได้ จึงเชื่อว่าจะมีการโจมตีมิดเวย์แน่นอน แม้พลเรือเอกยามาโมโตวางแผนลวง ไปโจมตีหมู่เกาะอาลิวเชียนด้วย โดยหวังให้สหรัฐแบ่งกำลังไปที่นั่น แต่พลเรือเอกนิมิทซ์ของสหรัฐไม่หลงกล ญี่ปุ่นหวังว่าถ้ามิดเวย์แตกก็จะเอื้อให้รุกไปยึดฮาวาย และชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐได้ “ ยุทธการที่มิดเวย์เป็นการรบที่ใช้เครื่องบินห้ำหั่นกัน เรือรบของญี่ปุ่นไม่ได้ลั่นกระสุนแม้แต่นัดเดียว แต่กลับต้องเสียเรือบรรทุกเครื่องบินไป 4 ลำ และเรือลาดตระเวนอีกหลายลำ ” “ แต่การสูญเสียที่สำคัญคือเครื่องบิน 250 กว่าลำ นักบินฝีมือดีจำนวนมาก และกำลังใจหดหาย ความพ่ายแพ้นี้ทำให้ญี่ปุ่นต้องปรับแผน และเริ่มมีการฝึกนักบิน เพื่อทำคามิคาเซ่ เพราะในยุทธการมิดเวย์นักบินตายไปมาก และญี่ปุ่นฝึกนักบินไม่ทัน ” คามิคาเซ่คือการที่นักบินยอมพลีชีพ ขับเครื่องบินพ่วงเอาจรวจติดใต้ท้องเครื่องและขับเครื่องชนเป้าหมายฝ่ายสัมพันธมิตร ม้วนเดียวไม่จบ ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นยังคงทำสงครามภาคพื้นดินกับสัมพันธมิตรอยู่ในเอเชียและตามเกาะแก่งต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิคด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะโซโลมอน ปาปัวนิวกินี พม่า จีน และแมนจูเรีย และพอถึงราวกลางปี 1943 ญี่ปุ่นเริ่มเป็นฝ่ายตั้งรับและถอย ตรงนี้ ดร. ไนท์ ชี้ว่าเพราะญี่ปุ่นวางแผนพลาดตั้งแต่ต้น “ ญี่ปุ่นต้องการทรัพยากรเพิ่ม โดยเฉพาะจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะทำสงครามในจีนมาตั้งแต่ปี 1937 แล้ว จึงต้องการน้ำมันและทรัพยากรอื่น ๆ อย่างมาก ญี่ปุ่นใช้การโจมตีแบบสายฟ้าแลบ เพราะต้องการให้สงครามเริ่มและจบโดยเร็ว และหวังให้สหรัฐยอมรับในชัยชนะ แต่สหรัฐไม่ยอมจบง่าย ๆ ” “ ดังนั้นแผนของญี่ปุ่นที่จะให้เป็นสงครามแบบม้วนเดียวจบ จึงเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต่อมาญี่ปุ่นสู้ไม่ได้ เพราะหลังจากที่สหรัฐเข้าร่วม งบทำสงครามที่ประธาธิบดีรูสท์เวลท์ตั้งไว้ ทำให้มีการผลิตยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าของญี่ปุ่นอย่างมาก นอกจากนั้นสหรัฐยังมีทรัพยากรในประเทศเอง ขณะที่ญี่ปุ่นต้องนำเข้า ” อีกจุดที่ญี่ปุ่นพลาดคือการโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ในตอนแรก เพราะไม่ได้โจมตีฐานปฏิบัติการภาคพื้นดินของสหรัฐที่อยู่บนเกาะ โจมตีแต่กองเรือ และข่าวกรองของญี่ปุ่นก็ทำงานไม่เต็มร้อย เพราะเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐทั้ง 4 ลำ ไม่ถูกโจมตีเลย เนื่องจากช่วงนั้นไม่ได้ประจำการที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ถ้าฐานปฏิบัติการภาคพื้นดินและเรือบรรทุกเครื่องบินถูกโจมตี กองเรือแปซิฟิคของสหรัฐอาจต้องโยกไปตั้งฐานปฏิบัติการแถวชายฝั่งตะวันตกสหรัฐ หน้าหลัก ประวัติส่วนตัว ประวัติสงครามโลกครั้งที่2 ยุทธศาสตร์การโจมตี ทำไมต้องเป็น ฮิโรชิมา ลำดับเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา นางาซากิรำลึก60ปี ปรมาณูถล่ม โศกนาฏกรรมนางาซากิ บันทึกหลังระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ ตำนานการพับนก รูประเบิดปรมาณู http://www.geocities.com/mirumo_mint/02.html

ยุทธภุมิที่อิโวจิมา


ยุทธภูมิอิโวจิมา เป็นการรบที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นที่เกาะอิโวจิมา ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม พ.ศ. 2488 และนับเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้วางแผนการรบครั้งนี้ในชื่อ ยุทธการดีแทชเมนต์ (Operation Detachment) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยึดสนามบินที่อยู่บนเกาะนี้ใช้เป็นฐานบินโจมตีประเทศญี่ปุ่น


การรบครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการรบที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะกองทัพญี่ปุ่นสร้างแนวป้องกันเกาะไว้อย่างหนาแน่นด้วยสนามเพลาะจำนวนมาก ปืนใหญ่ที่ถูกอำพรางไว้ตามจุดต่างๆ และอุโมงค์ที่ขุดไว้รอบเกาะรวมความยาวได้ 18 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังเป็นการโจมตีแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้พยายามรักษาเกาะไว้ให้ได้นานที่สุด ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตไปในการรบครั้งนี้กว่า 20,000 จากจำนวนทั้งหมดเกือบ 21,000 คน และเหลือรอดเป็นเชลยเพียง 216 คนเท่านั้น
ในการรบครั้งนี้ โจ โรเซนธัล ช่างภาพจากสำนักข่าวเอพี ได้ถ่ายภาพการปักธงชาติสหรัฐอเมริกาของทหารเรือเสนารักษ์และทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ยอดเขาสุริบาชิ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในการรบครั้งนี้ ที่จริงแล้วภาพดังกล่าวเป็นภาพของการปักธงครั้งที่ 2 ส่วนภาพการปักธงครั้งแรกนั้นเป็นภาพถ่ายของหลุยส์ อาร์. โลว์เวอรี ช่างภาพนาวิกโยธินสหรัฐฯ เหตุที่มีการปักธง 2 ครั้งก็เพราะว่านายทหารระดับสูงของกองทัพเรือสหรัฐฯ ต้องการเก็บธงที่ปักไว้ผืนแรกเป็นที่ระลึก
ลักษณะสมรภูมิ
เกาะอิโวจิมาเป็นเกาะภูเขาไฟซึ่งอยู่ทางใต้กรุงโตเกียวไปประมาณ 1,200 กม. (650 ไมล์ทะเล) และอยู่ทางเหนือของเกาะกวมไปประมาณ 1,300 กม. (702 ไมล์ทะเล) และเกือบอยู่กึ่งกลางระหว่างโตเกียวและเกาะไซปัน เกาะมีพื้นที่ประมาณ 21 ตารางกิโลเมตร ทางตอนใต้ของเกาะอิโวจิมาคือที่ตั้งของภูเขาสุริบาชิ ซึ่งมียอดเขาสุริบาชิเป็นจุดสูงสุดของเกาะ
ประวัติ

หลังจากที่หมู่เกาะมาร์แชลถูกบุกยึดโดยกองทัพอเมริกัน และกลุ่มเกาะทรุกที่อยู่ใกล้กับหมู่เกาะแคโรลีน ถูกกองทัพอากาศอเมริกันโจมตีอย่างหนักหน่วงที ใน พ.ศ. 2487 ทำให้กองบัญชาการของญี่ปุ่นต้องทำการวิเคราะห์สถานการณ์รบอีกครั้ง โดยทุกเบาะแสชี้ว่ากองทัพอเมริกันจะมุ่งโจมตีไปที่หมู่เกาะมารีอานนาและหมู่เกาะแคโรลีน เพื่อตั้งรับการบุกตรงจุดนั้น จึงมีการตั้งแนวป้องกันชั้นใน ซึ่งเริ่มจากหมู่เกาะแคโรลีนเหยียดขึ้นไปทางเหนือจนถึงหมู่เกาะมารีอานนา และขึ้นเหนือไปอีกจนถึงหมู่เกาะโอกะสะวาระ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2487 กองพลที่สามสิบเอ็ด นำโดยพลเอกฮิเดะโยชิ โอบาตะ จึงถูกเรียกเข้าประจำการแนวป้องกันชั้นในนี้ ส่วนผู้บัญชาการประจำฐานทัพที่เกาะชิชิจิมานั้นได้รับแต่งตั้งให้ควบคุมกองกำลังภาคพื้นดินและภาคพื้นสมุทรประจำหมู่เกาะโอกะสะวาระอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น
หลังจากที่กองทัพอเมริกันสามารถบุกยึกฐานทัพในหมู่เกาะมาร์แชลในการรบที่เกาะเควจลินและเกาะเอนิวิท็อกได้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 กำลังเสริมจากทั้งภาคพื้นดินและภาคพื้นสมุทรจึงถูกส่งมายังเกาะอิโวจิมา โดยทหาร 500 นายจากฐานทัพเรือที่โยโกะสุกะ กับอีก 500 นายจากชิชิจิม่าได้เคลื่อนพลมาถึงเกาะอิโวจิมาในระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายนในปี 1944 ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อกำลังเสริมจากชิชิจิมาและหมู่เกาะแผ่นดินแม่มาถึงเกาะ กองทัพรักษาการณ์บนเกาะอิโวจิมาก็มีกำลังพลกว่า 5,000 คน และมีสรรพาวุธเป็นปืนใหญ่ 13 กระบอก, ปืนกลขนาดเบาและหนัก 200 กระบอก และปืนยาว 4,552 กระบอก นอกจากนี้ กองทัพรักษาการณ์ยังครอบครองปินใหญ่ 120 มม. ติดชายฝั่งหลายกระบอก, ปืนต่อสู้อากาศยานขนาดหนัก 12 กระบอก และปืนลำกล้องคู่ต่อสู้อากาศยาน ขนาด 25 มม. อีก 30 กระบอก
ความพ่ายแพ้ที่หมู่เกาะมารีอานนาในฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2487 ทำให้ญี่ปุ่นยิ่งต้องให้ความสำคัญกับหมู่เกาะโอกาสะวาระ เนื่องจากการเสียหมู่เกาะนี้ไปจะทำให้กองกำลังอเมริกันสามารถทำการโจมตีทางอากาศกับหมู่เกาะบนแผ่นดินแม่ได้ ซึ่งจะรบกวนการผลิตอาวุธสงครามและทำให้ขวัญกำลังใจของประชาชนลดลงอย่างยิ่ง
หากแต่ แผนสุดท้ายเพื่อป้องกันเกาะโอกาสะวาระของญี่ปุ่นนั้น เป็นอันต้องตกไป เนื่องด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ากองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นนั้นสูญเสียกำลังไปจนแทบไม่เหลือแล้ว และไม่สามารถป้องกันการบุกขึ้นฝั่งของกองทัพอเมริกันได้อีกต่อไป นอกจากนี้ กองกำลังอากาศยานก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ถึงขนาดที่ แม้ว่าการผลิตเครื่องบินรบของญี่ปุ่นจะไม่ถูกรบกวนด้วยการโจมตีทางอากาศของอเมริกาก็ตาม แต่จำนวนเครื่องบินรบของญี่ปุ่นก็ยังไม่น่าจะถึง 3,000 ลำ ภายในเดือนมีนาคมหรือเมษายน ในปี พ.ศ. 2488 อีกทั้ง เครื่องบินเหล่านี้ก็ไม่สามารถบินจากหมู่เกาะแผ่นดินแม่มาโจมตีเกาะอิโวจิมาได้ เนื่องจากระยะบินของเครื่องบินนั้นไม่สามารถบินเกินระยะ 900 กม. ได้ นอกจากนี้ เครื่องบินรบที่เหลือทั้งหมดยังต้องถูกนำไปเผื่อไว้ใช้กับไต้หวันและเกาะอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับฐานทัพอีกด้วย
ในการศึกษาหลังสงคราม นายทหารญี่ปุ่นได้อธิบายกลยุทธที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับการป้องกันเกาะอิโวจิม่า โดยยึดหลักดังต่อไปนี้:
"จากสถานการณ์ที่เป็นในตอนนั้น เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการปฏิบัติการณ์ทางบก, ทะเลหรืออากาศใดๆ บนเกาะอิโวจิมา แล้วหวังจะประสบกับชัยชนะได้เลย ดังนั้น เพื่อซื้อเวลาที่จำเป็นในการเตรียมการป้องกันมาตุภูมิ กองกำลังของเราจึงควรที่จะพึ่งยุทธปัจจัยที่เอื้อต่อการป้องกันในบริเวณนั้นอย่างเต็มที่ และทำการชะลอการรุกคืบของศัตรูโดยใช้ยุทธวิธีถ่วงเวลา แม้ว่าการโจมตีแบบพลีชีพของทหารกลุ่มเล็กๆ ในกองทัพบก, เครื่องบินพลีชีพในกองทัพเรือ, การจู่โจมสายฟ้าแลบของเรือดำน้ำ และปฏิบัติการณ์ของหน่วยพลร่มของเรา ถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ควรถือว่าเป็นเพียงแค่กลยุทธลวงของเราเท่านั้น เป็นความคิดที่น่าหดหู่ที่สุด ว่าเราไม่เหลือช่องทางใดๆ เปิดให้เราได้ใช้กลยุทธใหม่ๆ ที่ได้ผุดขึ้นมาตลอดยุทธการเหล่านี้"
เครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกันที่บินมาจากหมู่เกาะมารีอานนา ได้ทำการโจมตีหมู่เกาะแผ่นดินแม่ เป็นประจำทุกวัน (ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในยุทธการสคาเวนเจอร์) เกาะอิโวจิมาจึงทำหน้าที่เป็นสถานีเตือนภัยล่วงหน้า ซึ่งจะคอยวิทยุรายงานถึงเครื่องบินที่กำลังใกล้เข้ามา ส่งสัญญาณกลับไปยังแผ่นดินแม่ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสามารถตระเตรียมการป้องกันทางอากาศเพื่อตั้งรับการทิ้งระเบิดของอเมริกาได้อย่างทันท่วงที
หลังจากการรบแห่งเกาะเลตีที่ฟิลิปปินส์ได้สิ้นสุดลง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงเหลือเวลาอีกสองเดือนเต็ม ที่จะเริ่มปฏิบัติการณ์เพื่อเตรียมการบุกยึดเกาะโอกินาวา ในส่วนของเกาะอิโวจิมานั้น ถือว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมาก เนื่องจากเกาะนี้เป็นฐานทัพอากาศให้กับเครื่องบินรบญี่ปุ่นที่คอยเข้าสกัดเครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกล B-29 ทั้งยังเป็นท่าจอดเรือรบญี่ปุ่นในยามฉุกเฉิน การยึดเกาะอิโวจิมาจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ไป และจะปูทางให้กับการบุกยึดแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่น การบุกยึดจะทำให้ระยะทางที่ B-29 จะต้องบินลดลงไปเกือบครึ่ง และจะเป็นฐานให้กับเครื่องบินขับไล่มัสแตง P-51 ได้ทำหน้าที่ได้การคุ้มกันเครื่องบินทิ้งระเบิด ฝ่ายข่าวกรองนั้นมั่นใจว่าอิโวจิมาจะถูกยึดภายใน 5 วันแน่นอน หารู้ไม่ว่าฝ่ายญี่ปุ่นได้เตรียมการป้องกันมาอย่างสมบูรณ์แบบ และใช้กลยุทธที่แตกต่างจากการรบที่ผ่านๆ มา การป้องกันนั้นดีมากเสียจนระเบิดเป็นร้อยๆ ตันจากเครื่องบินทิ้งระเบิดและปืนใหญ่ที่ระดมยิงจากเรือรบเป็นพันๆ นัดของฝ่ายพันธมิตร แทบจะทำอะไรกับฝ่ายป้องกันไม่ได้เลย ทั้งยังพร้อมที่จะสร้างความเสียหายกับนาวิกโยธินสหรัฐฯ อย่างร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในสงครามแปซิฟิก เมื่อข้อมูลข่าวกรองเป็นใจ การบุกยึดเกาะอิโวจิมาจึงได้รับการอนุมัติ โดยการบุกขึ้นหาดมีชื่อรหัสปฏิบัติการณ์ว่า "ยุทธการดีแทชเมนต์"
ข้อมูลจาก วิกิเพียเดีย

ข้อมูลที่ชอบอ่าน

  • บทความธรรมะ
  • เทคโนโลยี
  • หนังสือพิมพ์

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เสิงสาง, นครราชสีมา, Thailand